ข้อคิด ที่ช่วยให้ชีวิต ง่ายขึ้น ที่อยากแนะนำ

 

ข้อคิดที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นที่อยากแนะนำ

  รอบที่แล้วเราเคยพูดถึงกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ที่นำไปอธิบายเหตุผลเรื่องธุรกิจมาแล้ว รอบนี้เราอยากจะมาพูดถึงข้อคิดข้อนี้ที่เอาไปประยุกต์ใช้กับไมน์เซ็ตหรือความคิดของเราที่ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้กันบ้าง หลายคนคงรู้สึกว่าโลกนี้มันยากลำบากเหลือเกิน ต้องตื่นเช้าออกไปทำงานหาเงิน เอาเงินมาซื้ออาหารหรืออัพเกรดชีวิตให้ดีขึ้น หรือไม่ก็เอาไปรักษาตัวเองตอนป่วยบ้าง แล้วก็วนกลับมาทำแบบนี้ซ้ำ ๆ อยู่ทุกวัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาบนกองเงินกองทองจนมีโอกาศได้ไปใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ แต่เราอยากจะบอกกับคุณและให้กำลังใจกับคุณว่า ความรวยอาจไม่ใช่สิ่งที่เราตามหาจริง ๆ ความสุขไม่ใช่หรอที่เราตามหากัน แน่นอนล่ะว่ามีเงินนี่แหละซื้อความสุขได้เห็นผลกว่า ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น แต่ถ้าความรวยดูจะเป็นอะไรที่เราน่าจะเอื้อมไม่ถึง เหมือนกับคนเขียนบทความนี้ (ฮา) เราอยากมาแชร์ข้อคิดเรื่องกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ที่น่าจะช่วยให้อย่างน้อยจิตใจเรามีแรงพอไปต่อในชีวิตกันได้บ้าง 


มาหาเป้าหมายกันก่อนว่าจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม

  อย่างแรก เรามาหาเป้าหมายให้กับข้อคิดของเรากัน สมมุตว่าเป้าหมายของเรา คือมีความสุขในแต่ละวัน แม้ว่าจะไม่มีทางเป็นเศรษฐีรวยร้อยล้านพันล้านแน่นอน เรามีสองอย่างที่อยากแนะนำให้ทำดู คือหนึ่ง ทำให้ชีวิตง่ายคือ และสองคือทำให้ชีวิตลำบากน้อยลง เหมือนกับการเก็บเงินออมเงินยังไงยังไง ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ คือหนทางที่เราจะเพิ่มเงินให้เราเป็นคนมั่งคั่งหรือร่ำรวยได้ แต่ด้วยหลาย ๆ อย่างที่ประเทศของเราอาจไม่ได้อำนวยความสะดวกให้เราเท่าไหร่ เรามาเริ่มกันที่ข้อคิดที่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นกันดีกว่า



ข้อคิดให้ชีวิตง่ายขึ้น

  ข้อคิดข้อแรกที่อยากแนะนำคือ ทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตการทำงานหรือเป็นอยู่นี่ มันคุ้มค้ากันหรือเปล่า ช่วงเวลาชั่วโมงที่เรามอบให้กับงานและชีวิตส่วนตัว ที่เขาเรียกกันว่า Work Life Balance นั่นแหละ ในประเทศของเราที่มันออกจะ…บิดเบี้ยวไปหน่อยเรื่องค่าครองชีพ ถ้าเป็นต่างประเทศ การจะทำ Work Life Balance เป็นเรื่องที่ทำได้จริงอยู่นะ แต่ในบ้านเราคงจะลำบากหน่อยแหละ อย่างไรก็ตาม มานั่งคิดกันดู คำว่า ขยันไม่อดตาย ดูจะเป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้ในบ้านเราเท่าไหร่ เราอยากให้ลบคำนี้ออกจากข้อคิดกันไปก่อน ไม่ใช่ว่าเราต้องไม่ขยันเลย แต่มาขยันให้ถูกที่ถูกเวลากันดีกว่า งานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ให้รายได้กับเราคุ้มค่ากับที่เราทุ่มแรงกายแรงใจให้กันไหม ถ้าไม่เป็นแบบนั้น เราแนะนำให้ลองเปลี่ยนงานหรือหาเส้นทางใหม่กันดู พูดไปอาจจะง่ายแต่ทำยากเหลือเกิน เราเข้าใจและเข้าใจเป็นอย่างดี ยังไงซะนี่ก็ยังเป็นแค่คำแนะนำ เอาล่ะ กลับมาที่ข้อคิดกันต่อ เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งพูดเกี่ยวกับการหาอาชีพที่ใช้เอาไว้ว่า การจะทำอาชีพอะไรสักอย่าง ให้นึกถึงเวลาหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี และสิบปีหลังจากนี้ดู ว่าถ้าเราทำงานนี้ เราจะพอใจกับมันไหมในเวลาถัดมา ถ้ามันไม่เวิร์คหรือไม่ใช่แบบที่ต้องการ การยอมสละที่เดิมแล้วเดินไปหาทางใหม่ อาจมอบสิ่งที่คุ้มค้าให้กับเรา


  สมมุติว่าเราอยู่ในที่ทำงานที่งานก็หนัก หรืออาจไม่ใช่ทางที่เราอยากทำแต่แรก อีกทั้งเรื่องเพื่อนร่วมงานและเจ้านายที่ทำเราเสียสุขภาพจิต ความเสียหายตรงนั้นคุ้มค่ากับเงินเดือนที่เราจะได้ไหม ในสมัยเราอาจจะต้องยอมทำงานเพื่อความอยู่รอดกัน แต่ในยุคนี้ต้องบอกว่าเราโชคดีกว่าแต่ก่อนเยอะ ที่มีโอกาศหลายแบบพร้อมให้เราได้ไปคว้ากัน ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าฉันควรอยู่ต่อดีไหม หรือฉันควรไปที่อื่นแทน ลองใช้ข้อคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมดู เอาความรู้สึกเรานี่แหละมานั่งชั่งใจ เราเหนื่อยแบบนี้ ต้องอยู่แบบนี้ไปอีกหลายวันหลายเดือนหลายปี มันจะดีจริงหรือเปล่ากับเงินที่เราแลกได้ กับ ถ้ายอมจ่ายเวลาชีวิตหรือมีเงินที่น้อยลง


เพื่อไปทำในสิ่งที่จะไม่ทำให้รู้สึกเสียใจถ้าได้ลอง มันจะคุ้มค่ากว่ากันหรือเปล่า เมื่อไหร่ที่เราใช้เหตุผลมาคำนวนความสมเหตุสมผลให้มันเสร็จ อารมณ์จะเป็นตัวช่วยตัดสินใจให้เรา มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่กับความรู้สึก เพราะงั้นคำแนะนำนี้อาจดูสวนทางกับหลักการทางเหตุผลไปหน่อย แต่พวกเราไม่ใช่เครื่องจักร เพราะงั้นอารมณ์นี่แหละที่จะช่วยเราตัดสินใจ


  ข้อคิดต่อมาคือ อะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ มีคำพูดหนึ่งของพระมหาไพรวัลย์ที่ท่านกล่าวประมาณว่า ไม่ต้องไปคิดถึงความสุขในอนาคตไกลขนาดนั้นหรอก เราควรคิดถึงความสุขที่เราควรมีได้ทุกวัน ถ้ามัวแต่คิดว่าฉันต้องมีเงิน มีงาน มีอนาคตอย่างเดียว แล้วมันต้องใช้เวลากว่าจะไปถึงจุดนั้น มันอาจจะสำเร็จก็ได้ แต่ระหว่างทางเราจะไม่บอบช้ำไปเหรอ สมมุตความสุขของเราอยู่ที่การได้เงิน แล้วเราทำงาน 29 วัน วันที่ 30 เราเงินเดือนออก งั้นก็แปลว่าเราเป็นทุกข์อยู่ 29 วันนี่ แบบนี้มันจะคุ้มกันอยู่ไหมล่ะ เรามาลองลดสเกลความสุขของเราเป็นแบบรายวันกันน่าจะดีกว่า วันหนึ่งเราได้ทำงานที่ ทำแล้วมีความสุขไหม ทำแล้วสนุกไหม ถ้างานนั้นมันไม่ใช่งานสนุก อย่างน้อยถ้าทำงานนี้ไปมันจะทำให้เราทุกข์ใจหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น ลองแก้ไขมันดูน่าจะดีกว่านะ


ถ้าไม่ใช่ด้วยการเปลี่ยนอาชีพการงาน แต่เปลี่ยนวิธีการหรือแค่ตำแหน่งจะพอเป็นไปได้หรือเปล่า แล้วถ้าความสุขเราอยู่ที่เงิน งั้นเงินนั้นต้องสร้างความสุขให้เราได้ทุกวัน จริง ๆ ถ้าเรารู้สึกแฮปปี้ที่เรามีกาแฟอร่อย ๆ กินทุกวันมันก็ดีแล้วนะ กับคำแนะนำที่มีหลายคนบอกว่า ถ้าไม่กินกาแฟ ป่านนี้ก็มีเงินเก็บเป็นพันเป็นหมื่นไปแล้ว ตรงนี้มองกลับกันว่า กาแฟ ของกิน ขางที่เราช็อปปิ้งมา มันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เราได้เงินอะไรก็จริง แต่มันคือเชื้อเพลิงทางจิตวิญญาณที่ทำให้เรามีใจไปต่อในวันถัดไป เพราะงั้นใครมาบอกให้งดนั่นงดนี่ ก็บอกให้เขากลับไปทำเองก็ได้ เราหาเงินเพื่อมาซื้อความสุขกันไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นยินดีกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้เถอะ อย่างน้อยเราก็หามาด้วยตัวเองใช่ไหมล่ะ


  ข้อคิดให้ชีวิตลำบากน้อยลง

  ข้อคิดสำหรับเรื่องนี้ที่อยากนำเสนอก็คือ บนโลกนี้ทุกอย่างมันเหตุมีผลของมัน และอีกข้อหนึ่งที่อยากพูดอีกครั้งคือหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เราอยากจะแนะนำสำหรับคนที่เจอข้อความประเภทสแกมหรือหลอกลวงเรากันหน่อย ในช่วงชีวิตนี้ เราน่าจะเคยเจอกับเหตุการณ์ที่คนยื่นข้อเสนอแปลก ๆ ให้เรา เช่น มาทำงานกับเราแล้วได้เงินเยอะมากอย่างนั้นอย่างนี้ เราลองเอากฎเรื่องการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมไปใช้ดู สมมุติว่าอยู่ดี ๆ เรานั่งทำอะไรของเราอยู่เพลิน ๆ แล้วมีคนมอบเงินให้เราจำนวนที่ก็ไม่น้อย คุณจะพูดตกลงรับมาอย่างนั้นหรือ สำหรับคนที่โดนมิจฉาชีพหลอก น่าจะต้องใช้ข้อคิดนี้เป็นอย่างยิ่ง คือ การที่เขาหรือใครให้อะไรเรามา เขาได้รับหรือเอาอะไรจากเราไปบ้าง สมมุติว่าพ่อแม่ให้เงินค่าขนมเรา นั่นคือเรื่องหนึ่ง เพราะเขาเป็นคนในครอบครัว การให้เงินค่าขนมเป็นหนึ่งในการให้ด้วยเสน่ห์หา หรืออีกอย่างก็คือเขาให้เพราะเขาต้องดูแลเลี้ยงดูเรา แต่ถ้าเป็นกรณีมีใครหน้าไหนก็ไม่รู้มายื่นข้อเสนอที่เรามีแต่ได้กับได้ให้ แค่คิดดูมันก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว มันไม่มีใครจะให้อะไรเราได้มากมายโดยไม่ได้อะไรจากเราไปสักอย่างหรอก เพราะงั้นสำหรับผู้ที่กำลังมองหางานทำในช่วงชีวิตลำบาก การได้เห็นงานหรือข้อเสนอการกู้เงินที่มีแต่ได้กับได้ ระวังไว้เลยว่ามันไม่ปกติ แบบนี้เขาเรียกการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียม มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาต้องเอาไปให้คุ้มกับที่เขาจะให้เราแน่นอน 

  

  ข้อคิดเรื่องความสมเหตุสมผลนี่แหละที่อยากมอบไว้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการมองโลกและมองชีวิต มันจะเป็นข้อคิดที่พาเราเอาตัวรอดและพัฒนาชีวิตไปได้ไกลมากแน่นอน เพราะเดิมทีโลกเราและมนุษย์เรามาถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยคำว่าเหตุและผลนี่แหละ สิ่งประดิษฐ์ทุกสิ่งมีที่มาที่ไป มีข้อพิสูจน์และข้อมูลหลักฐาน เพราะงั้นให้ชีวิตได้เป็นเหมือนกับงานวิจัยของเราเอง แล้วไปหาสมมุติฐานที่เป็นข้อคิดดี ๆ มาทำให้เส้นทางงานวิจัยเราเดินไปในแบบที่เราต้องการ แล้วสำเร็จตามที่ตั้งใจ แม้ว่างานวิจัยเรามันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนโลกก็ตาม ไหน ๆ ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเรามีชีวิตกันได้กี่ครั้ง งั้นถือว่าชีวิตที่มีอยู่อันเดียวตอนนี้ควรได้มีความสุขละกัน ไม่งั้นได้เสียดายตลอดงานวิจัยแน่


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทำไมเล่นเกมแล้วต้องด่ากัน

พิซซ่าญี่ปุ่น หรือ โอโคโนมิยากิ(Okonomiyaki) ที่มาเป็นยังไง

ประวัติของ โดรายากิ ขนมสุดโปรดของ โดราเอมอน